ช่วงนี้ ททท.กับแคมเปญใหม่ "เมืองต้องห้ามพลาด" กำลังมาแรง
กระแสโปรโมตจังหวัดนอกสายตากำลังมา
จึงกลายเป็นจุดเริ่มเดินทางของผมในครั้งนี้ โดยจะเดินทางในเมืองต้องห้ามพลาดทางตอนเหนือ นั้นคือ "น่านและลำปาง"
แต่การเดินทางครั้งนี้ผมจะไปในช่วง "กรีนซีซั่น"(ช่วงโลซีซั้นนั้นเอง) เพราะปกติคนจะไม่ชอบเดินทางในช่วงหน้าฝนแบบนี้ แต่หารู้ไม่ว่าการเดินทางท่องเที่ยวช่วงหน้าฝน ก็ได้บรรยากาศที่สวยงามไปอีกแบบ ไม่ว่าจะเป็นความชุ่มชื้นของป่าเขา ความเขียวขจีของนาข้าว ที่พักที่แสนจะถูก
อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางของผมติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/saphipae
การเดินทางครั้งนี้ผมเดินทางโดยเครื่องบินโดยจองตั๋วจากเวปของสายการบินก่อนเดินทางในราคาปกติ639 บาท โดยชำระเงินผ่านร้านสะดวกซื้อ แต่ถ้าใครจองตั๋วโปรล่วงหน้าก็อาจจะได้ราคาถูกกว่านี้ครับ
เดินทางเที่ยวบินเวลา 10.25 น. สู่สนามบินน่านนคร
ก่อนถึงสนามบิรเล็กน้อยเริ่มเห็นภูเขาแปลกตา
เมื่อถึงสนามบินน่าน ผมเลือกเดินทางต่อโดยรถยนต์เช่าของ avis
โดยใช้โปรโมชั่นเริ่มต้นที่ 399 บาทต่อวัน
เนื่องจากทริปนี้เราจะออกนอกเมืองเป็นส่วนใหญ่ (และสภาพหน้าฝนแบบนี้) การเช่ารถยนต์ จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
ติดต่อสอบถามข้อมูล หรือโปรโมชั่นได้ที่
http://avisthailand.com/TH/index.php
คันนี้แหละจะพาเราขึ้นเขา ขึ้นดอย ลัดทุ่งนาเลาะเมืองน่าน กับทริป "แอ่วน่านแบบม่วนใจ๋ "
หลักจากจัดการเรื่องรถเสร็จทุกอย่าง เดินทางออกจากสนามบินก็เที่ยงพอดี ก็ได้เวลามื้อเที่ยงที่ไม่ใกลจากสนามบิน ร้านบ้านข้าวซอยอยู่เยื้องๆวัดสวนตาล (ออกจากสนามบินเลี่ยวซ้าย เจอแยกไฟแดงแล้วขวา มาไม่ใกล ร้านจะอยู่ซ้ายมือ) กับเมนูข้าวซอย
ทัองตึงหนังตาหย่อน หาเครื่องดื่มนิดหน่อยก่อนเข้าที่พัก
ที่น่าน ร้านกาแฟหาได้ไม่ยาก มีทุกถนนให้คุณได้เลือกกัน สใตล์การตกแต่งเก๋ไก๋ต่างกันไปกัน ออกจากร้านข้าวก็มาเจอร้านนี้พอดี (MIX) ..
ส่วนตัวผมเองไม่ใช่คอกาแฟเท่าไหร่ ขอเป็นชาเขียวนมสดเย็นๆ เค้กสักชิ้น กับน้ำพันธ์ เปิดคอมฯทำรูปเล็กน้อยรีวิวการเดินทางไปพลางๆ
เครื่องดื่มรสชาติดีราคาก็ไม่แรง นั่งชิวได้เรื่อยๆ
มีมุมหนังสือให้หยิบอ่านระหว่างรอเครื่องดื่ม
หรือจะเลือกมุมส่วนตัวกับชุดเก้าอี้เก๋ๆ ก็ตามชอบครับ
Advertisement
ตระเวณหาพี่พักในตัวเมืองได้สักพัก ก็มาจบที่นี่ครับ "น่านลานนา" ที่พักตกแต่งเป็นแนวบูติคเน้นสีขาวสะอาดตา คืนละ 500 บาท อยู่ด้านหลังวัดหัวข่วง ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของตัวเมืองน่าน ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ..ทำให้สดวกในการเดินทาง โดยเฉะาพคนที่ชอบปั่นจักรยานท่องเที่ยวซึ้งผมก็ไม่พลาดเช่นกัน
ที่พักในน่านส่วนใหญ่จะมีจักรยานไว้บริการ อาจให้ยืมหรือเช่าก็แล้วแต่คุยกัน....
หลังจากเช็คอินเก็บของที่พักแล้วเราเปลี่ยนมาใช้ชีวิตเนิบๆแบบชาวน่านโดยการทิ้งรถจับจักรยาน
ปั่นเที่ยวชมเมืองน่าน(วัดที่เห็นด้านหน้า คือวัดหัวข่วง)
ปั่นสองล้อ ผ่อเมืองน่าน (ปั่นจักรยานชิวชิวยลเมืองน่าน)
มืองน่านจะมีทางสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ
สำหรับปั่นเนิบๆชมเมือง
มุมมหาชนกับจักรยาน ถ้ามีสาวน่านสักคนคงดี
จากวัดหัวข่วง ที่อยู่ตรงข้ามของอีกฝั่งถนน (ด้านซ้าย) ก็ปั่นเข้ามาใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน
อยู่ใกล้กับวัดภูมินทร์ เรียกว่า “หอคำ" ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุ ตลอดจนสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดี และชาติพันธุ์วิทยาประจำท้องถิ่นไว้อย่างมีระบบ และระเบียบสวยงาม
ที่นี่ยังเป็นที่เก็บปูชนียวัตถุคู่เมืองน่าน คือ “งาช้างดำ"
เสียดายวันที่มาปิดบูรณะ เลยได้เข้ามาแค่ตรงซุ้มอุโมงค์ต้นไม้
ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ก็จะมีวัดน้อย.."วัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย"เกิดจากตอนนั้นนับจำนวนวัดเกินไปหนึ่งวัดจึงได้หาทาง
ทำการสร้างวัดน้อยแห่งนี้ขึ้นมา เพื่อให้ครบตามจำนวนที่ กราบบังคมทูลไป
ซึ่งการเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 5ทำให้การกราบบังคมทูลคราวนั้นผิดพลาด จึงได้สร้างวัดน้อยขึ้นมา....
อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นศาลพระภูมินะครับ ^^
ออกจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ก็ปั่นต่อไปยังวัดภูมินทร์ ที่อยู่ตรงข้ามแยกอีกฝั่ง นี่คือเหตุปมที่ไม่ควรขับรถยนต์มา เพราะแต่ละสถานที่ไม่ไกลกันมากนัก การปั่นจักรยานจึงเป็นทางเลือกที่ดีหรืออาจจะเดินที่ยวได้เลย
เมื่อมาถึงเมืองน่านสิ่งที่พลาดไม่ได้อีกอย่างคือ...วัดภูมินทร์จุดเด่นนอกจากสถาปัตยกรรมแบบทรงจตุมุข หนึ่งเดียวในไทย ก็คือภาพกระซิบรักบรรลือโลก "ปูม่าน ย่าม่าน" ภาพจิตกรรมโรมานซ์ล้านนา กำลังยืนกระซิบกระซาบกัน ใช้สายตาเป็นสื่อภาษาใจต่อกัน
ภายในประดิษฐ์ฐานพระประธานจตุรทิศปางมารวิชัย 4 องค์ หันหน้าออกสู่ประตูทั้ง 4 ทิศ
เป็นภาพ ที่ทรงอิทธิพลทางความคิดต่อผู้คนสมัยหลังเป็นอย่างมาก
ภาพมีขนาดใหญ่เกือบเท่าคนจริง
ปรากฎโดดเด่นอยู่ที่ผนังด้านซ้ายของประตู
ทิศตะวัตกของวิหารวัดภูมินทร์
ภาพ “เสียงกระซิบบันลือโลก" หรือภาพ “ปู่ม่าน ย่าม่าน"
ทำเอาผมอยากกระซิบบอกคนข้างๆบ้างเลยครับ
(ภาพนี้ได้มุมส่วนตัวครับ...ใครอยากได้เทคนิคเดี๋ยวผมกระซิบให้ครับ)
มีคำกล่าวที่ว่า “ ใครมาเยือน แล้วไม่ได้มานมัสการพระธาตุแช่แห้ง ก็เหมือนไม่ได้มาเมืองน่าน"
ใหนๆปั่นมาแล้วเราก็ปั่นกันต่อ....
จากตัวเมืองน่านสองกิโล ^^! ข้ามแม่น้ำน่านตามทางหล วงหมายเลข 1168 เดินทางสู่วัดพระธาตุแช่แห้ง
วัดพระธาตุแช่แห้ง ทางทิศตะวันออกของเมืองน่าน เป็นปูชนียสถานสำคัญอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองน่าน มีอายุนานกว่า 600 ปี องค์พระธาตุเป็นสถูปแบบพื้นเมือง เดิมเป็นสถูปทรงลังกา แต่ได้หักพังและมีการปฏิสังขรณ์สืบกันมาหลายครั้ง มีการเปลี่ยนแปลงไปตามช่างฝีมือและคตินิยมของแต่ละยุคสมัย
เย็นย่ำเราก็ปั่นเข้ามาตัวเมือง ตรงๆข้ามวัดศรีพันตัน มีร้านขนมหวานขึ้นชื่อ..... "ร้านของหวานป้านิ่ม" ร้านขนมหวานชื่อดังจังหวัดน่าน มาแอ่วเมืองน่าน ต้องกินฮื้อได้
(ระหว่างรอบัวลอยซึ้งจะมาตอน5 โมงเย็นที่วัดศรีพันต้น)
แต่ถ้ามาช่วงก่อนนั้นก็มีขนมหวาน ไอศครีม อย่างอื่นให้ได้เลือกชิมมากมายนะครับ
ขนมหวานป้านิ่มแบ่งเป็น 2 เมนู คือ เมนูร้อนๆ ที่มีทั้งเต้าส่วน ลูกเดือยเปียกมะพร้าวอ่อน บัวลอยมะพร้าวอ่อนน้ำหอม ที่รสชาติไม่หวานเกินไป และเมนูเย็นๆ อย่างลอดช่องสิงคโปร์ รวมมิตรน้ำแข็งใส และไอศกรีมกะทิสด ใส่ไข่แดง
ปิดท้ายด้วยน้ำเตาหู้เบาๆ ร้านนี้แนะนำเลยครับ ร่อยจิงอะไรจริง พิกัดอยู่ข้างซเว่น ถัดจากวัดภูมิทร์ อยู่ด้านหน้าศูนย์การค้าโอทอป
ของอร่อยก็ต้องต่อคิวรับบัครกันก่อนนะครับ
หลังอิ่มท้องก็กลับที่พัก ได้เวลาพักผ่อน วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันนี้
พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อเดินทางไปยังดอยเสมอดาว และขุนสถาน
โชคดีอาจเจอทะเลหมอก หรือโชคร้ายเจอฝนตก ไปลุ้นเอาตอนเช้าด้วยกันนะครับ...
ตื่นตั้งแต่ตี 5 ขับรถมุ่งหน้าสู่อำเภอเวียงสา จากนั้นขับขึ้นเขาไปยังอำเภอนาน้อยเลี้ยวซ้ายขึ้นไปยังอุทยานศรีน่านอีก 18 กิโลเมตรก็มาถึงดอยเสมอดาว
ถ้ามาในช่วงหน้าหนาว...จะมีนักท่องเที่ยวขึ้นมากางเต็นท์ชมทะเลหมอกในยามเช้า ชมดาวและแสงไฟจากตัวอำเภอนาน้อยในยามค่ำคืนกันเยอะมาก
ที่นี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆของจังหวัดน่านเลยก็ว่าได้
สายแล้ว มีน้องๆอีกกลุ่มขับมอไซค์มาเที่ยวกัน ถามไถ่ได้ความว่าขับมาจากนครสวรรค์ ... ของเราแค่ขับเที่ยวในจังหวัดยังเหนื่อยเลย แถมต้องเสี่ยงเปียกฝนกันอีก ...
ดูท่าพระอาทิตย์ก็ไม่มีวี่แววจะโผล่ออกมาให้ยล คาดว่าทั้งวันก็คงไม่เห็นกัน แต่ก็เป็นเรื่องปกติของการเที่ยวหน้าฝนอะเนอะ !!
พอคาดการว่าคงจะไม่เจอดวงอาทิตย์แล้ว ก็ตัดสินใจลงจากเขาหามื้อเช้าทานที่อำเภอนาน้อย
เช้าๆแบบนี้ร้านใหญ่ๆ คงยังไม่เปิด ก็เลยต้องมาอาศัยร้านข้าวแกงง่ายๆของชาวบ้าน แต่ขอบอกว่าอร่อยมาก แถมไม่แพงอีกต่างหาก เลยจัดไป 3 เพิ่มพลังงานก่อนเดินทางต่อไปขุนสถาน
จากอำเภอนาน้อยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1216 มุ่งหน้าไต่ระดับความสูงขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติขุนสถาน (ดอยแม่จอก) เส้นทางค่อนข้างชันแต่ไม่ไกล มีบางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อบ้าง แต่รถเก๋งสามารถได้สบายครับ
การเดินทาง: ใช้เส้นทางจากตัวจังหวัดแพร่ได้ 2 เส้นทาง คือ
1. ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 101 (ถนนยนตรกิจโกศล) เป็นเส้นทางจากตัวจังหวัดแพร่ไปจังหวัดน่าน มาตามเส้นทางประมาณ 66 กิโลเมตรจะถึงหม่บ้านห้วยแก็ต ให้เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางหลวง 1216 ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตร
2. จากจังหวัดน่าน ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1026 สายอำเภอเวียงสา - อำเภอนาน้อย และจากอำเภอนาน้อยเลี้ยวขวา ไปถึงที่ทำการอุทยาน ระยะทางประมาณ 33 กิโลเมตร
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ขุนสถานโฮมสเตย์ 0823844672 / 0810248989
มีจุดให้จอดรถพักชมวิว ระหว่างทางได้เรื่อยๆ
มาถึงขุนสถานเลยทางเข้าอุทยานมาหน่อยหนึ่ง เลี้ยวซ้ายขึ้นมาที่ขุนสถานโฮมสเตย์
ที่ขุนสถานโฮมสเตย์นอกจากจะมีบ้านพัก ที่นี่ยังมีการปลูกองุ่นแบบไร้เมล็ด ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม และซื้อเป็นของฝาก ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวที่นี่ก็มีไร่สตอเบอร์รี่ด้วยนะครับ
บ้านพักที่นี้เป็นแบบโฮมสเตย์ ตั้งอยู่บนเนินสามารถมองเห็นวิว และชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง
วิวไร่กะหล่ำที่ขุนสถาน มองจากโฮมสเตย์
จากขุนสถานโฮมสเตย์ขับรถมุ่งหน้าต่อไปยังอุทยานแห่งชาติขุนสถาน(ดอยแม่จอก) ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก
อุยานแห่งชาติขุนสถาน(ดอยแม่จอก) มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,424 เมตร ที่นี่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม รวมถึงมีทะเลหมอกแบบอลังการให้ได้ชมกันหากมาท่องเที่ยวในช่วงฤดูฝน
และที่นี้จะอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี
วิวเทือกเขาสลับซับซ้อนมองเพลินตา แต่ก็แอบใจหายไม่น้อยกับภูเขาหัวโล้นที่เห็นข้างหน้า
นอกจากจุดชมวิวแล้วที่ดอยแม่จอกก็มีบ้านพักของอุทยานไว้รองรับบนักท่องเที่ยว ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 โซน แตกต่างกันออกไป แถมยังมีพื้นที่สำหรับกางเต็นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
บ้านพักที่นี่แบ่งออกเป็น 3 โซนได้แก่
แม่จอก 1 นอน ได้ 10 ท่าน ,
แม่จอก 2 นอนได้4 ท่าน ,
แม่จอก 3 นอนได้5-6 ท่าน
ส่วนร้านอาหารนักท่องเที่ยวจะต้องแจ้งล่วงหน้ามาก่อน ซึ่งบริการเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เข้าพักเท่านั้น
ขุนสถานสามารถจองทางโทรศัพท์ ยังไม่เปิดให้จองทางเว็บไซต์ของอุทยาน
รายละเอียด ห้องพัก
http://www.khunsathan.com/touring/doimaechok/doimaechok.html
อุทยานแห่งชาติขุนสถาน
ตู้ ปณ.5อ. นาน้อยจ. น่าน55150
ติดต่อจองได้ที่เบอร์ 087-173-9549อีเมล ksnp@khunsathan.com, khunsathan@hotmail.com
เจอวิวแบบนี้เข้าไป...ผมนี้อยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้เลยครับ
หลังจากชมวิวเพลินๆ เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านมาค่อนวัน ต้องเดินทางต่อไปยัง อ.ปัว โดยใช้เส้นทางเดิม ขับรถย้อนเข้าตัวเมืองน่าน หามื้อเที่ยงกินก่อนเดินทางกันต่อ
จากตัวเมืองน่าน มุ่งหน้าขึ้นเหนือ ผ่านอำเภอท่าวังผามาประมาณ18 กม. ก็เข้าสู่ อ.ปัว เมืองเล็กๆ รายล้อมไปด้วยขุนเขา และบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติท่ามกลางความเขียวขจี มีวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตเป็นแบบฉบับของตนเอง ซึ่งเหมาะกับการเดินทางมาท่องเที่ยวใช้ชีวิตแบบ เนิบ..เนิบ เป็นที่สุด
และวันนี้เราจะมาเนิบๆ อยู่ที่นี่กันสักคืน
มาถึงอำเภอปัวก็ขับรถไปที่พักก่อนเลย คืนนี้เราจะนอนกันที่โฮมสเตย์ตานงค์ ซึ่งเป็นโฮมสเตย์เล็กๆ ตั้งอยู่กลางทุ่งนารายล้อมไปด้วยขุนเขา ในบรรยากาศที่เงียบสงบ
การเดินทางมาที่นี่ก็ไม่ยาก ขับเลยออกจากตัวเมืองปัวมาประมาณ 2 กิโลเมตร จะเจอศูนย์หัตกรรมเครื่องเงินดอยซิลเวอร์อยู่ด้านขวามือให้ชะลอรถเตรียมเลี้ยวขวาตรงสี่แยก หลังจากเลี้ยวขวา ให้ขับไปอีกประมาณ 500 เมตร จะเจอโรงเรียนบ้านส้านคุรุราษรังสรรค์ ขับตรงไปเรื่อยๆจนเจอวัด
จากนั้นเลี้ยวซ้ายตรงแยก จนไปเจอสะพานข้ามแม่น้ำ ให้เลี้ยวซ้ายตรงตีนสะพานลัดเลาะไปตามนาข้าวก็จะเจอโฮมสเตย์ตานงค์ตั้งอยู่ให้เห็นโดดเด่นมาก
หรือใครที่เดินทางมาโดยรถประจำทาง ที่นี่ก็มีบริการรับส่งฟรีที่ท่ารถอำเภอปัวครับ ติดต่อสอบถามได้ที่นี่เลย
http://www.homestay-tanong.com/index.php
https://www.facebook.com/homestay.tanong?fref=nf&pnref=story
คืนนี้ผมพักห้องนี้ ถ้าจะบอกว่าคืนละ 500 บาทเชื่อกันไหมครับ
แต่ราคาเท่านี้จริงๆ
โฮมสเตย์ที่นี้จะมีด้วยกัน 3แบบคือเฮือนไม้ , เฮือนชายคาริมน้ำ และ เฮือนคันทรี่ (มี 3 ห้อง)
แดดร่มลมตก ก็จับจักยานออกไปปั่นชมวิวบริเวณรอบๆโฮมสเตย์...
ถ่ายรูป ดูวิถีชาวบ้านในการปลูกข้าว
ถ้ามีชุดพร้อมกว่านี้คงได้ลงไปดำนากับชาวบ้านแล้วครับ
บรรยากาศทุ่งนาบริเวณที่พัก ปั่นจักรยานแบบชิวๆริมนา
..ลืมบอกไปที่โฮมสเตย์ตานงค์ก็มีให้บริการนะครับ..
ปั่นกันจนค่ำก็กลับมาที่โฮมสเตย์ ที่นี้ใครอยากทำอาหารกินเองก็ได้นะครับ มีครัวให้ทำอย่างสะดวกสบาย หรือถ้าอยากทานอาหารเหนือแบบขันโตกก็สามารถโทรมาแจ้งล่วงหน้าได้
...ส่วนวันนี้ผมไม่ได้แจ้งมา และออกไปเที่ยวชมถ่ายภาพบรรยากาศเพลินจนมืดค่ำ เลยงด(อด)มื้อเย็น เก็บท้องไว้พรุ่งนี้ละกัน...
แต่ก็อย่างว่าแหละธรรมชาติสามารถทำให้เราลืมหิว ได้ !!
เครื่องครัว...โต๊ะอาหารมีไว้บริการเรียบร้อยบริเวณใต้ถุนบ้าน
ออกมาเก็บภาพบรรยากาศหน้าบ้านพักอีกเล็กน้อยก่อนเดินทางต่อในเช้าวันนี้
สายๆเก็บของ เช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก พิกัดต่อไปมุ่งหน้าขึ้นเขาสู่อำเภอบ่อเกลือ
ออกจากที่พักย้อนเข้ามาที่อำเภอปัวเพื่อเลี้ยวซ้ายต่อไปยังอำเภอบ่อเกลือ
แต่ก่อนจะลุยขึ้นเขาแวะเติมคาเฟอีนเล็กน้อยที่ "ร้านแฟบ้านไทลื้อ"
ตัวร้านตกแต่งด้วยไม้ท่ามกลางทุ่งนา โอบล้อมด้วยภูเขาอีกชั้น
ใครที่ผ่านมาแถวนี้แนะนำให้มาลองชิมกาแฟชมบรรยากาศได้ครับ...รับรองฟิน
หลังจากเติมกาแฟแก้ง่วง ก็ออกเดินทางต่อ
การเดินทางไปบ่อเกลือในทริปนี้ผมไปตามทางหลวงหมายเลข 1256 (ปัว-บ่อเกลือ) รวมระยะทาง 48 กม.
ผ่านอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ระหว่างทางจะมีวิวทิวทัศน์ให้ได้ชมตลอดเส้นทาง
ซึ่งเป็นถนนลาดยางตลอด ก็จะมีโค้งขึ้นเขาลงเขาแต่ไม่ลำบากมากนัก
บนเส้นทางถนนลอยฟ้า (ปัว-บ่อเกลือ) ก่อนจะถึงอุทยานแห่งชาติดอยภูคา
วิวระหว่างทาง
จอดพักรถ ชมวิว ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ
ขับมาประมาณ 18 กิโลเมตรก็จะมาถึงอุทยานแห่งชาติภูคา อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดน่าน
โดยเฉพาะหน้าฝนที่นี่จะมีดอกชมภูพูคาบานให้ได้ชมกัน รวมไปถึงจุดชมวิวทะเลหมอก และมีลานกางเต็นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วยครับ
หลังจากเดินทางมาร่วม 48 กิโลเมตร เราก็มาถึงอำเภอบ่อเกลือ
แต่เดี๋ยวก่อนเรายังไม่เชคอินเข้าที่พักเพราะแรงยังเหลือ ผมเลี้ยวซ้ายไปต่อกับเส้นทางหลวงหมายเลข 1081 (บ่อเกลือ-เฉลิมพระเกียรติ) เพื่อขับรถชมวิวและถ่ายรูปนาขั้นบันไดข้างทาง
ระหว่างทางจะผ่านอุทยานแห่งชาติขุนน่าน ถัดจากนั้นฝั่งขวามือริมถนนก็จะเป็นนาขั้นบันได
ขับชมไปเรื่อยๆ
ตรงไหนสวย ชอบตรงไหน ก็จอดถ่าย ไม่เร่งรีบ
อีกหนึ่งมุม ของอีกหมู่บ้าน (จำชื่อบ้านไม่ได้) แต่อยู่ก่อนถึงบ้านขุนน่านนิดเดียว
ขับรถชมนาข้าวมาเรื่อยๆ ก็มาหยุดที่นี่ครับ "บ้านขุนน่าน"
เป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านที่มีนาขั้นบันไดผืนใหญ่
แต่เนื่องจากจะต้องกลับไปเชคอินที่พักที่บ่อเกลือ เลยเอาแค่นี้พอครับ ไม่อยากมืดระหว่างทาง
ถ้ามาเที่ยวน่าน สิ่งที่จะเห็นจนชินตาก็คือ ภูเขาหัวโล้นแบบนี้
.....
ได้เวลาเดินทางกลับบ่อเกลือเพื่อเชคอินเข้าที่พัก
คืนนี้เรามาเช็คอินกันที่ "ปลายมาง ทางรัก" เป็นที่พักเก๋ๆ น่ารักๆ ตั้งอยู่ริมน้ำมาง อ.บ่อเกลือ
ที่พักแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ เช่น บ้านเดี่ยวริมน้ำสำหรับ 2 ท่าน , บ้านแอดเวนเจอร์ พักได้ 4-5 ท่าน
บ้านหลังใหญ่ 10 ท่าน , บ้านโซนเสมิบ ห้องน้ำรวมราคาเริ่มต้นที 500 บาทต่อหลัง
สอบถ้าข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เพจ ปลายมาง ทางรัก รีโซเทล
https://www.facebook.com/pages/ปลายมาง-ทางรัก-รีโซเทล/490547121054608
....
.
มาถึงก็เย็นย่ำพอดี แต่ก็ยังทันเก็บบรรยากาศรอบๆที่พัก
ปลายมางฯเป็นที่พักที่ตกแต่งได้สวยมีเอกลักษณ์เฉพาะใครที่ชอบบรรยากาศที่พักแบบนี้ ถ้าได้มาบ่อเกลือก็ติดต่อเข้าพักได้นะครับ
...แต่อย่าลืมโทรมาจองล่วงหน้า ยิ่งถ้ามาช่วงหน้าฝนแนะนำโทรมาแจ้งที่ที่พักก่อนครับ
มุมชิวๆ ยามเย็น...เสียดายคืนนี้เหงาไปหน่อย ไม่มีแขกกลุ่มอื่นเลย
ที่พักที่นี่ก็มีหลายแบบให้เลือกพัก
เสียดายผมไม่ได้ถ่ายภาพห้องที่พักไว้เลย เพราะเข้ามาเย็นแล้ว
เลยเอาภาพตัวอย่างอีกห้องมาให้ชมครับ
ตื่นแต่เช้ารับบรรยากาศเย็นสบายๆ ริมแม่น้ำมาง ซึ่งก็อยู่หลังที่พักเรานี่แหละครับ ไม่ต้องเดินออกไปไกล
อาหารเช้าพร้อม จิบกาแฟไปพลาง เสพบรรยากาศไปพลาง
ชิวๆ เนิบๆ แบบไม่ต้องรีบ
สายๆ เช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก เข้ามาเยี่ยมชมการทำเกลือซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อของอำเภอบ่อเกลือ
จนนำมาตั้งเป็นชื่ออำเภอ "เมืองบ่อ" ซึ่งหมายถึง เมืองที่มีบ่อเกลือ
เกลือที่นี่เป็นเกลือสินเธาว์ ใช้วิธีการต้มเกลือแบบโบราณในโรงเกลือที่ปิดมิดชิด
ภายในมีเตาขนาดใหญ่ขึ้นรูปจากดินเหนียวสำหรับวางกะทะใบเขื่อง
ทำการต้มเกลือสินเธาว์มาตั้งแต่โบราณหลายร้อยปีมาแล้ว
จากหลักฐานทางธรณีวิทยาระบุว่า
เมื่อหลายแสนปีก่อน บริเวณนี้เคยเป็นทะเล
จริงไม่จริงผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ลองเข้ามาเยี่ยมชมกันครับ
เพราะเป็นสถานที่ ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนบ่อเกลือ
เสร็จภารกิจเมืองน่าน ก็ได้เวลาเดินทางสู่เมืองต้องห้ามพลาดอีกเมือง นั้นคือจังหวัด "ลำปาง"
ครั้งนี้ผมจะใช้อีกเส้นทาง โดยเลือกใช้เส้นทางไป อ.สันติสุข เป็นอีกเส้นทางที่สวยงามเช่นกัน
(เมื่อวานเราเลี้ยวซ้ายไปชมนาขั้นบันได)
เส้นทาง อ.สันติสุขกลับตัวเมืองน่าน และนำรถที่เช่ามาไปคืน
โดยจะเปลี่ยนการเดินทางโดยรถตู้ประจำทาง (น่าน-เด่นชัย)
..
.
ส่งท้ายทริป ตอนแรก(เมืองน่าน)ด้วยภาพนี้ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยวชม ในตอนแรกกับทริป
..
ถ้าชอบใจ ก็รบกวนโหวต หรือแชร์ ให้ด้วยนะครับ
..
ติดตามการเดินทางของผมได้อีกช่องทางที่เพจ "สะพายเป้ เท่ทั่วไทย"
https://www.facebook.com/saphipae
สะพายเป้ เท่ทั่วไทย
วันพฤหัสที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 09.46 น.