สวัสดีเพื่อน ๆ
วันนี้ผมจะมาแชร์เรื่องราว หลังกลับจากทริปล่าสุด กว่า 2,000 km มหาชัย - แม่กำปอง - ดอยอินทนนท์ - ม่อนแจ่ม 4 คน 3 คัน
ผมได้วางแผนทริปนี้ล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน ทั้งแผนกำหนดการต่าง ๆ และงบประมาณส่วนตัวคร่าว ๆ ไว้สำหรับทริประยะเวลา 4 วัน 3 คืนนี้ โดยผมกำหนดงบไว้ 8 พัน ต้องรอดูว่าไปจริงจะเหลือหรือเกินไหม
แผนการเดินทาง และ งบประมาณคร่าว ๆ
ในเรื่องที่พัก จากประสบการณ์ที่แห้วมาหลายที่ เลยจัดการจองตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ถึงจะเป็นการจองล่วงหน้าถึง 2 เดือน แต่ไม่น่าเชื่อว่าที่พักดัง ๆ ในเชียงใหม่ ทั้งแม่กำปอง ม่อนแจ่ม เต็มเกือบหมดแล้ว นี้ถ้าจองใกล้ ๆ วันเดินทางไม่อยากจะคิดว่าจะหาที่พักได้ไหม อีกใจก็เสียว ๆ ขนาดที่พักยังเต็ม แปลว่าคนคงจะมาเที่ยวกันเยอะน่าดูเลย เหอ ๆ
ก่อนการเดินทาง 1 เดือน ช่วงกันยายน ผมมาจัดแจงของและอุปกรณ์ทั้งหมดที่จะเอาไปออกทริป แล้วก็ต้องพบว่ากระเป๋าข้างรถของผมพัง สันนิษฐานว่าโดนไอความร้อนจากท่อไอเสียจนขาดเป็นรู ถึงจะพอใช้งานได้ แต่ในการเดินทาง 4 วันก็อาจจะขาดเยอะกว่าเดิม และทำให้ทริปล่มได้ จึงไม่เสี่ยง และสั่งกระเป๋ากันน้ำขนาด 60 ลิตรมาใช้งานแทน ตอนแรกจะสั่งสองใบแล้ว แต่ปรากฏว่าใหญ่กว่าที่คิดไว้ ใส่ของสำคัญ ๆ อุปกรณ์กางเต๊นท์ได้หมดพอดี เหลือพอใส่เสื้อผ้า และ ของจุกจิกได้อีก และไปซ้อมออกทริปเล็ก ๆ ก่อนใช้งานจริงบ้าง ผลเป็นที่น่าพอใจ
สภาพกระเป๋าข้าง ที่เริ่มขาด
กระเป๋าใหม่ กันน้ำขนาด 60 ลิตร
ไปลองทดสอบทริปสั้น ๆ ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ
แต่… ก่อนออกเดินทางอาทิตย์กว่า ๆ เนื่องจากฝนตกทุกวัน และมีแนวโน้มว่าจะตกยาวยันวันออกทริป เลยตัดสินใจยกเลิกแผนที่จะนอนเต๊นท์ เพราะอาจจะทุลักทุเลเกินไป จะพาลเที่ยวไม่สนุก เลยไถกูเกิ้ลหาที่พักแทนวันที่จะกางเต๊นท์ เป็นอันว่าอุปกรณ์กางเต๊นท์ทั้งหมดไม่ต้องเอาไป เลยเหลือแค่กระเป๋าสะพายใบเดียวแทน กระเป๋าที่สั่งมากะใช้ทริปนี้ เลยไม่ได้ใช้ไปโดยปริยาย
ส่วนสำคัญที่สุดของทริปนี้ นั้นคือ รถ นั้นเองครับ
ก่อนเดินทาง 1 เดือน (กันยายน) ทำการ Service รถชุดใหญ่ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง,เปลี่ยนผ้าเบรค หน้า-หลัง,ล้างกรองทำความสะอาด,ตรวจเช็คสภาพโซ่ ส่วนยางเพิ่งจะเปลี่ยน Road 5 ใช้ไปไม่ถึง 5 พันโล เรียกว่าสภาพรถพร้อมสำหรับการเดินทาง 4 วันแล้ว
ผ้าเบรค หน้าหลัง จัดมาใหม่
ทำความสะอาดปั้มเบรคหน้าหลัง
เตรียมข้าวของที่จะขนไปทั้งหมดยัดลงกระเป๋ากัน โดยทริปนี้ผมเตรียมของไปดังนี้
1.เสื้อ 4 ตัว,กางเกงขาสั้น 1 ตัว,ถุงเท้า 2 คู่,ชุดกันฝน,ชุดกันหนาว
2.กระเป๋ากันน้ำสำหรับใส่กระเป๋าเงิน ซองกันน้ำใส่มือถือ,ถุงพลาสติก,ถุงดำ เอาไปเผื่อใส่ชุดเปียก
3.แปลงฟัน ยาสีฟัน สบู่ รองเท้าแตะ ผ้าเช็ดตัว ของใช้ส่วนตัว (แว่น น้ำยาคอนเทคเลนซ์ โรลออน)
4.แบตสำรอง 3 อัน,ขาตั้งกล้อง
ทั้งหมด ยัดลงกระเป๋ากันน้ำขนาด 10 ลิตร แล้วยัดไว้ในเป้อีกที เตรียมพบสำหรับการเดินทางไปเชียงใหม่กันแล้ว พร้อมลุยฝนมาก
วันเดินทาง นัดกัน 04:55 ปั้ม PT แถวบ้าน จัดแจงเติมน้ำมัน เช็คลมยางกันเรียบร้อย 05:30 ก็ทำการขี่ดิ่งขึ้นเชียงใหม่ในทันที เนื่องจากวันที่ออกเดินทางเป็นวันอาทิตย์ และเช้ามาก ทำให้รถโล่งสุด ๆ ก็ขี่มาเรื่อย ๆ ประมาณ 150 โล จอดเติมน้ำมันที เพราะ MT09 ถังน้ำมันเล็ก (14 ลิตร) เลยต้องจอดเติมบ่อยหน่อย ประมาณ 150 โล ก็จะเหลือขีดเดียว
ประมาณ 07:55 ก็ถึงปั้ม ปตท. นครสวรรค์ จุดพักจุดแรกที่กะจะกินข้าวกันที่นี้ โดยเลือกเป็นร้านเชสเตอร์กริลล์กัน แต่เช้าเกิน เชสเตอร์กริลล์ ยังไม่เปิด เลยนั่งรอกันประมาณ 5 นาที ร้านก็เปิด ก็จัดแจงกินข้าวเช้า เช็ดหมวกจากคราบแมลง เข้าห้องน้ำ ใช้เวลาพัก 1 ชั่วโมง 09:00 ก็ออกเดินทางต่อทันที
ก็ขี่มาเรื่อย ๆ แวะปั้มทุก ๆ 150 โลเติมน้ำมัน จน 11:00 (เป๊ะ) ถึง ปั้ม ปตท. เถิ่น ลำปาง ก็แวะกินอเมซอน เข้าห้องน้ำกันประมาณชั่วโมงครึ่ง เที่ยงกว่า ๆ ก็ออกเดินทางกันต่อ เพราะใกล้ถึงเชียงใหม่ละ
Advertisement
พอถึงตัวเมืองเชียงใหม่ สมาชิกกลุ่มต้องแวะสนามบินเพื่อรับสายซ้อนที่นั่งเครื่องบินมารอ ก็ไปรับสายซ้อนที่สนามบิน และเป้าหมายวันแรกของทริปนี้ก็คือ หมู่บ้านแม่กำปอง
เวลาประมาณ 15:00 ผมก็ถึงตัวหมู่บ้านแม่กำปอง และต้องพบว่า คนเยอะมากก เหงื่อตกเลย แต่ก็ทำใจไว้ตั้งแต่ตอนหาที่พักแล้วละ เพราะที่พักเต็มหมด คนก็คงต้องเยอะเป็นธรรมดา
เนื่องจากตัวผมแยกออกมาจากกลุ่ม มาแม่กำปองคนเดียว ในขณะที่เพื่อนในกลุ่มอีก 2 คัน เข้าตัวเมืองไปซื้อหมวกให้สายซ้อน ทำให้ผมถึงแม่กำปองก่อน เลยไปเช็คอินที่พัก ลุงปุ๊ด ป้าเป็ง โฮมสเตย์ (ผู้ดูแลพูดจาดีมาก มีสำเนียงเหนือ ฟังแล้วน่ารักดี) แล้วก็ได้ตั๋วอาหารเช้าไว้
จากนั้นซื้อโค้กมานั่งรอ ขี้เกียจไปเดินเที่ยว เพราะคนเยอะเกินไป ประมาณ 16:00 เพื่อนก็ตามมาถึงแม่กำปอง ก็จัดแจงเก็บของ และไปตะลุยแม่กำปองกัน คนเริ่มลดลงไปบ้างพอสมควร
เราเริ่มจากไปกินข้าวเย็นกันที่ร้านข้าวซอยชื่อดังของหมู่บ้านนี้ (คนเยอะมาก) แล้วก็กลับมาเอารถขี่ขึ้นเขาไปชมวัดแม่กำปอง แล้วเลยไปนั่งกินกาแฟที่ร้าน ริมระเบียง (คนน้อยมาก ๆ) แล้วก็นั่งชิวจนมืด แล้วกลับที่พัก มาเดินเล่นในหมู่บ้านแม่กำปองยามค่ำคืนต่อ จนนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มี MOTOGP เลยหาร้านนั่งชิว สั่งเบียร์ กับแกล้ม มานั่งดู MOTOGP กัน (ดีใจกับอเล็กซ์ มาเควสที่ได้โพเดี้ยมแรก) แล้วก็กลับที่พักกันตอน 2 ทุ่มเห็นจะได้ นอนเอาแรงเพื่อตื่นไป กิ่วฝิ่น ในตอนตีห้ากันวันพรุ่งนี้
การจราจรช่วงนี้จะลำบาก วุ่นวายหน่อย คนเยอะ
มุมมหาชน
คนถือว่าไม่เยอะ นั่งกันเงียบ ๆ
บรรยากาศยามค่ำคืน
นึกขึ้นได้ว่ามี MOTOGP เลยหาร้านนั่งดู
เช้าวันใหม่ เวลาประมาณ 05:30 พวกเราก็ตื่น เตรียมตัวขี่มอไซค์ขึ้นไปกิ่วฝิ่นกัน ใครไม่ได้เอารถส่วนตัวมาก็เหมารถแดงขึ้นไปได้นะ อุณหภูมิเช้านี้ประมาณ 18 องศา ไปถึงกิ่วฝิ่นประมาณ 6 โมง ก็ต้องพบว่า คนโครตตตตตเยอะะะะะะะ เลยถ่ายรูป 2-3 แช๊ะ แล้วคุยกับเพื่อนว่า คนแห่มากิ่วฝิ่นหมด หมู่บ้านก็โล่งสิ เลยชวนกันกลับ ก่อนกลับก็แวะน้ำตกแม่กำปองก่อนเป็นทางผ่าน
เวลาประมาณ ตีห้า อุณหภูมิหนาว ๆ
คนเยอะไปหน่อย
บรรยากาศถือว่าสวย ถ้าไม่นับคนที่เยอะจนหามุมถ่ายรูปยากไปหน่อย
พอถึงตัวหมู่บ้าน ก็ตามที่คาด หมู่บ้านโล่งมาก คนไม่มีเลย เลยได้ถ่ายรูปทุกมุมซิกเนเจอร์ของแม่กำปองทุกจุดแบบไม่ต้องต่อคิว และ ไม่มีคนมาคอยแทรกในเฟรม ไพรเวทสุด ๆ
จากนั้นก็กลับที่พัก ไปอาบน้ำ แล้วมากินอาหารเช้ากันที่ ลุงปุ๊ด ป้าเป็ง คาเฟ่ กินเสร็จ ก็ออกมาเดินเล่นในหมู่บ้านยามเช้าต่อ คนเริ่มจะเยอะแล้ว คิดถูกมากที่หนีจากกิ่วฝิ่นมาถ่ายรูปก่อน แวะซื้อขนมปัง กับ ไข่ป่า มานั่งกินที่พัก แล้วเตรียมตัวออกเดินทาง
เรานัดกันล้อหมุนตอน 10 โมง แล้วก็ขนเสบียงสำรอง เป็น ข้าวซอยสำเร็จรูป ที่ทางโฮมสเตย์ให้ฟรีมา 4 ถ้วยใหญ่ ๆ แล้วออกเดินทางสู่จุดหมายต่อไป ดอยอินทนนท์
ลงจากหมู่บ้านแม่กำปองมาได้ประมาณ 40 นาที ปรากฏว่ามีเหตุไม่คาดคิดขึ้น คือ เพื่อนในกลุ่มคนนึง ขี่ ๆ อยู่ โดนผึ้งต่อยขา ขี่ไม่ไหว เลยต้องจอด พอจอดปุ๊บ กระเป๋าผมขาดทันที ทำให้ไปไหนต่อไม่ได้ เลยคุยกันว่าจะเอายังไงดี โชคดีมากที่เราลงมาถึงตีนเขาแล้ว เลยคุยกันว่าไปหาร้านขายเชือก แล้วรัดกระเป๋าแทน ขี่ไปไม่ถึง 100 เมตร เจอร้านของชำมีเชือกฟางขาย เลยแวะกันมัดเชือกให้เรียบร้อยก่อนไปต่อ แต่กระเป๋าผมหนักมาก กลัวขาด พี่เจ้าของร้านบอกว่า เลยไปไม่ถึง 200 เมตร มีตลาดใหญ่อยู่ มีร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง น่าจะมีสายรัดขาย ผมเลยฝากกระเป๋าไว้ที่ร้าน แล้วขี่มาซื้อสายรัด แล้วก็กลับมารัดให้เรียบร้อย แข็งแรงไว้ใจได้ เลยมุ่งหน้าต่อทันที
เพื่อนร่วมทริปโดนผึ้งต่อยขาระหว่างขี่
ส่วนผม กระเป๋าขาดเฉย
จอดซื้อเชือกมัดของชั่วคราว
พร้อมลุยต่อ
ถึงหน้าทางขึ้นดอยอินทนนท์ตอน 12:57 จอดซื้อตั๋วกันให้เรียบร้อย ปรากฏว่า เพื่อนในกลุ่มป้ายทะเบียนหลุดหายไปคันเฉย
เป้าหมายแรกคือ จะมาเช็คอินที่พัก นั้นคือ Giant Bamboo hut บ้านไม้ไผ่ยักษ์ แล้วเก็บข้าวของก่อน ค่อยขึ้นบนดอยไปเที่ยวต่อ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง มาถึงร้าน ภูผาสายธาร จุดที่พี่คนดูแลที่พักนัดให้มารอ ร้านคนไม่มีเลยซักคนเดียว แต่บรรยากาศดีนะ นั่งรอสั่งน้ำกันประมาณ 20 นาที พี่ที่ดูแลก็ขี่เวฟคัสตอมวิบากมารับ ก็เริ่มเอะใจกับรถแล้วล่ะ… พี่บอกว่า เลยขึ้นไปประมาณ 4-500 เมตร เราก็คิดว่าไม่ไกลเท่าไหร่
จอดซื้อตั๋วให้เรียบร้อย
ระหว่างทางสวยมาก จอดถ่ายรูปกันรัว ๆ
ร้านบรรยากาศดี คนโล่งมาก
พอมาทางทางเข้าเท่านั้นแหละ อึ้งเลย คือโครตชัน ชันมาก แถมไม่ใช่ทางปูนด้วยนะ พี่ที่ดูแลบอกว่า เอารถไปจอดบ้านพี่ชายเขาได้นะ แต่เพื่อนในกลุ่มอยากลุยกัน เลยจำเป็นต้องขี่ลุยขึ้นไป…
พอมาถึง ต้องจอดรถ แล้วลงเดินอีก 5 นาที ถึงที่พัก ตอนแรกก็เหนื่อยแหละ แบกของมาเยอะ แต่พอมาถึงที่พักแล้วหายเหนื่อยเลย วิวสวย อากาศดี ส่วนตัว สงบมาก มีลำธาร น้ำตก ส่วนตัวอีกด้วย มีเจ้าถิ่นคอยดักทาสใหม่ ๆ นอนต้อนรับอยู่ด้วยนะ
ในรูปอาจจะเฉย ๆ ของจริงคือ ชัน มาก ๆ
เจ้าบ้าน ต้อนรับแขก
ทางเดินโยกเยก พอตื่นเต้น
ที่พักสวยมาก วิวดีมาก อากาศดีมาก มีน้ำตกส่วนตัว 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ
จากนั้นประมาณสามโมง ก็เตรียมไปขึ้นยอดดอยอินทนนท์กัน ความบันเทิงเริ่มจากตรงนี้ ขาขึ้นมันขึ้นมาได้ ขาลงนี้สิ เริ่มยาก ใช้เวลาประมาณ 10 นาที (รวมเดินจากที่พักมาที่จอดรถ) ถึงลงกันมาได้ครบทุกคัน
ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาถึง พระธาตุ คนน้อยมาก วิวสวยดี แต่ผมไม่ได้ไหว้พระนะ ไม่ใช่คนพุทธ เลยยืนชมวิวเฉย ๆ ใช้เวลาที่พระธาตุซักพัก ก็ขึ้นไปจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์ (ที่เขาให้เที่ยวได้อะนะ) อากาศประมาณ 13 องศาที่เวลาประมาณห้าโมง สั่งมาม่ากินคนละถ้วยแก้หิว
คนน้อยมาก
ไปยอดดอย เดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติ
อากาศประมาณ 13 องศา กินมาม่าร้อน ๆ แก้หิว
จากนั้นตอน หกโมง ลงมาตลาดม้ง นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เดิน ๆ อยู่ แม่ค้าน่าจะชาวบ้านแหละ เพราะพูดไทยไม่ค่อยชัด ชวนลองชิม ไวน์ผลไม้ พวกผมลองทุกรส เลยได้ไปคนละขวด แอลน้อย 2 แอลมาก 1 และซื้อของกินอื่น ๆ อีกเล็กน้อยสำหรับค่ำคืนนี้
ลองทุกรส
จากนั้นฟ้าเริ่มมืด เลยคุยกันว่า ควรรีบกลับที่พัก เพราะเดี๋ยวจะมองไม่เห็นทาง สมาชิกกลุ่มคนนึงดันอยากไปดูน้ำตกอะไรซักอย่าง อยู่ระหว่างทางผ่าน พอไปถึง คนดูแล กับ ร้านค้าแถวนั้น กลับหมดแล้ว เลยไม่รู้น้ำตกไปทางไหน เดินหาก็ไม่เจอ เลยต้องรีบดิ่งกลับที่พัก เพราะฟ้าเริ่มมืดมากแล้ว
พอมาถึง ก็ปรากฏว่าตามคาด มืดจนไม่กล้าเสี่ยงกลับทางเดิม เลยโทรให้พี่ผู้ดูแลออกมารับหน่อย
พี่เขาก็ออกมารับ และบอกว่า จอดตรงนี้ได้เลย ไม่หายแน่นอน แต่เดินไกลนะ ตอนนั้นก็ต้องยอมครับ เพราะไม่กล้าเสี่ยงขี่ขึ้นไป แต่เดินไกลพอสมควร พี่ที่ดูแลก็ขี่เวฟคัสตอมตามอยู่ข้างหลัง พอมาถึง ทางพี่ผู้ดูแลก็จัดหมูกะทะมาให้ ฟิน ๆ ไปคืนนี้
ที่จอดสำหรับคืนนี้ มืดมาก
เดินกลับที่พัก
หมูทะร้อน ๆ
เช้าวันที่ 3 ของทริปเหนือ เป้าหมายต่อไปของพวกเราคือ ม่อนแจ่ม ก่อนจะออกเดินทางต่อ เราใช้เวลาให้เต็มที่กับบ้านไม้ไผ่แห่งนี้ เพราะบรรยากาศดีมาก อากาศประมาณ 20 องศา พวกเราก็ลงไปแช่น้ำซะอย่างงั้น เล่นน้ำจนประมาณ 8 โมง พี่ผู้ดูแลก็เอาอาหารเช้ามาเสริมถึงที่พัก พวกเราก็กลับไปอาบน้ำ แบบไม่ใช่เครื่องทำน้ำอุ่นเลย ออกจากที่พัก ตอน 11:40 ยังอาลัยนิด ๆ เพราะ ที่พักบรรยากาศดีมาก แมวน่ารัก พี่ที่ดูแลก็ดูแลดีสุด ๆ ขาลงจากดอยเราก็แวะน้ำตก วชิรธาร ถ่ายรูปกันซักนิด ก่อนที่ผมจะขอแยกไปแก้อาการแปลก ๆ ของรถที่ลำพูนก่อน
อากาศเย็น ๆ ลงไปเล่นน้ำกันเฉย
อาหารเช้า ร้อน ๆ
เตรียมตัวเดินทางต่อ
ผมมาถึงลำพูนประมาณบ่ายสอง ก็บอกอาการรถช่างไป โดยได้รับการแนะนำช่างคนนี้มาจากเพื่อนในเฟซบุ๊ค ว่าเขาสามารถแก้อาการรถผมได้ จากนั้นใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ทำรถเสร็จ ผมจึงขอตัวไปม่อนแจ่มต่อเลยทันที ถึงที่พักม่อนแจ่มตอนสี่โมงครึ่งพอดี ที่พักชื่อ ไร่หยดเหมย พนักงานดูแลดี บรรยากาศใช้ได้ แต่ผมว่าวันนี้ม่อนแจ่มคนเยอะไปหน่อย แต่ที่พักของผมโชคดีที่คนเข้าพักไม่มากนัก
จากนั้นก็ตระเวณเที่ยวทั่วม่อนแจ่ม สำเนียงการพูดของชาวบ้านที่นี้ฟังแล้วน่ารักดี ผมแวะ(กะดูเฉยๆ)ร้านไหน เจอสำเนียง ดูก่องได้ข่าา อดใจอ่อนอุดหนุนไม่ได้ทุกที ซื้อเพลิน จนเหลือเงินติดตัวแค่ 170 บาท
แล้วฟ้าก็เริ่มมืด ก็กลับที่พัก สั่งส้มตำ ไส้อั่ว และก็เบียร์ภูเก็ต (ที่ต้องมากินถึงเชียงใหม่) นั่งเรื่อยเปื่อย แล้วก็เข้านอน มีเสียงตามสายเป็นภาษาถิ่นแถวนั้นด้วย ฟังไม่รู้เรื่องเท่าไหร่
แก้อาการผิดปกติของรถก่อน เดี๋ยวเที่ยวไม่สนุก
บรรยากาศที่พัก ไร่หยดเหมย ถือว่าคนน้อยมากถ้าเทียบกับที่พักจุดอื่น
ขี่รถเที่ยว หาจุดถ่ายรูปทั่วม่อนแจ่ม
เหมือนคนจะน้อย จริง ๆ คนไปอยู่ตามที่พักกันหมดแล้ว เวลานี้
ถ่ายรูปวิวสวย ๆ จุดถ่ายรูปเยอะมากที่นี้
สำเนียงภาษาคนที่นี้น่ารักมาก แวะร้านไหน ต้องเสียเงินอุดหนุนทุกร้าน
เหลือเงินแค่ 170 บาท ช็อปเพลินไปหน่อย เลยต้องกลับที่พัก
คืนนี้ นอนคนเดียว เพื่อนในกลุ่มนอนอีกที่ เลยสั่งของเบา ๆ มากินแทน
ZZZzzz
ตอนเช้าผมตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ต้มข้าวซอยสำเร็จรูปกินไป 2 ถ้วย (รสเหมือนแกงกะหรี่มากกว่า) ก่อนที่พนักงานจะยกชุดอาหารเช้ามาเสิร์ฟ จากนั้น 8 โมงก็ออกจากที่พัก เป้าหมายต่อไปคือ the jungle coaster ม่อนแจ่ม สวนสนุกในป่านั้นแหละ
ใช้เวลาที่ the jungle coaster จนประมาณ เที่ยง ก็ออกเดินทางกลับบ้านกัน ไม่น่าเชื่ออยู่อย่างคือ ตลอด 4 วันที่ผ่านมาไม่โดนฝนเลยแม้แต่วันเดียว ขากลับก็ไม่โดนซักเม็ด เตรียมชุดกันฝนกับกระเป๋ากันน้ำมาแบกหนัก ๆ แท้ ๆ
พระอาทิตย์ยามเช้า
ข้าวซอยสำเร็จรูป และ เซ็ตอาหารเช้า
บรรยากาศ the jungle coaster สวนสนุกในป่า มีของเล่นเสียว ๆ เยอะมาก แต่ผมไม่ได้เล่นนะ
หลังจากนั้นประมาณเที่ยงครึ่งก็เก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน
ผมออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ บ่ายโมง รถแทบไม่มี โล่ง ๆ เลย มาเริ่มติดตอนจะเข้าบางปะอิน แล้วก็ไหลได้เรื่อย ๆ เส้นกาญจนา จนสองทุ่ม ก็ถึงบ้านที่มหาชัย สรุปใช้เวลาไปประมาณ 8 ชั่วโมง จากเชียงใหม่กลับมหาชัย เหนื่อยมาก เหนื่อยรถติด ยังดีไม่ใช่ช่วงวันหยุดยาว ไม่งั้นรถคงติดมากกว่านี้ แปลกใจนิดหน่อย คิดว่าช่วงหลังโควิด คนน่าจะไม่ค่อยเยอะ แต่เชียงใหม่ คนเยอะกว่าที่คิดไว้พอสมควร
สรุปค่าใช้จ่ายทริป 4 วัน 3 คืน
ค่าน้ำมัน 4 วัน 2,330 บาท เฉลี่ยประมาณ 18 km/L
ค่ากิน ประมาณ 1,500 บาท
ค่าที่พักทั้งหมด 2,950 บาท แบ่งเป็น แม่กำปอง 750 / ดอยอินทนนท์ 1200 / ม่อนแจ่ม 1000
สรุป ใช้ไปทั้งหมด 6,780 บาท ประหยัดกว่างบที่ตั้งไว้จริง 1,220 บาท (จาก 8,000)
ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ เป็นอันจบทริปเหนือ 4 วัน 3 คืน ขากลับเพลียร่างสุด ๆ ได้บทเรียนและประสบการณ์หลายอย่างไว้ปรับใช้ทริปหน้า สำหรับกระทู้นี้ ขอจบแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ
กฤติณ เชิงทอง
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เวลา 19.45 น.