" ภูทับเบิก " ชื่อนี้น่าจะเป็นสวรรค์ของนักล่าหมอกหลายๆ คน ที่ไม่ต้องพกดวงไปก็ได้เจอ
ภูทับเบิกกลายเป็นจุดหมายที่เราต้องไปเช็คอินเป็นประจำทุกปีไปแล้ว
หน้าฝนมาเยือนแบบนี้พวกเราไม่พลาดที่จะพาร่างกายไปปะทะสายฝน เมฆหมอก และอากาศเย็นๆ
ซึ่งครั้งนี้การเดินทางของพวกเราจะแตกต่างไปจากเดิมที่ไปเที่ยวเสาร์ แล้วอาทิตย์ก็กลับ
แต่ครั้งนี้เราแพลนที่จะปักหลักอยู่ที่ภูทับเบิกแบบยาวๆ
จึงเป็นที่มาของทริปนี้ " ทริปนอนเต็นท์ดูหมอกฟินๆ ที่ภูทับเบิก 4 คืน 5 วัน "
ที่บอกว่า 4 คืนที่ภูทับเบิกมันก็ไม่เชิงเพราะเราไปนอนกันที่ภูหินร่องกล้ากันก่อน 1 คืน ทริปนี้เรานอนเต็นท์ล้วน หน้าฝนแบบนี้คนที่มาเที่ยวภูทับเบิกส่วนใหญ่ก็จะมานอนบ้านพักกัน ส่วนน้อยมากที่จะมากางเต็นท์ อาจเป็นเพราะสภาพอากาศข้างบนมันมีความไม่แน่ไม่นอน แดด ฝน ลม หมอกมีการเปลี่ยนแปลงตลอด มาดูกันว่าสภาพอากาศที่เราเจอทั้ง 4 คืนจะเป็นยังไงบ้าง
Day 1
เราเดินทางในเช้ามืดวันเสาร์ เดินทางกันในช่วงที่พายุเข้าอีกแล้ว เส้นทางก็กรุงเทพ - สระบุรี - ลพบุรี - เพชรบูรณ์ ก่อนขึ้นภูทับเบิกเราแวะกินข้าวเที่ยงกันที่หล่มสัก ที่ " ร้านขนมจีนแม่บุญมี " กินเสร็จก็เดินทางต่อ พอมาถึงสามแยกที่จะขึ้นภูทับเบิกฝนเจ้ากรรมก็กระหน่ำลงมาเรียกได้ว่าแบบบ้าคลั่ง จอดใส่เสื้อกันฝนแทบไม่ทัน แล้วเราก็ต้องขี่รถลุยฝนไปจนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเลย ซึ่งก่อนที่จะเข้ามาในอุทยานจะมีการชำระค่าเข้าก่อนนะ ของเราเสียกันไป 100 บาท จากนั้นก็ขี่ตรงเข้ามาด้านใน มาถึงที่ทำการอุทยานก็ไปติดต่อกางเต็นท์และชำระค่ากางเต็นท์กันอีกคนละ 30 บาท เสร็จแล้วก็มาเลือกที่กางกันได้เลย
ภายในลานก็จะแบ่งเป็นหลายโซนๆ พื้นที่กว้างมาก จุดที่เราไปกางตรงนั้นมีกันอยู่แค่ 3 เต็นท์ นอนกันแบบหลวมๆ เจ้าหน้าที่บอกว่าช่วงหน้าฝนแบบนี้คนไม่ค่อยนิยนมากางเต็นท์กันเท่าไร ที่นี่จะนักท่องเที่ยวจะหนาแน่นมากในช่วงหน้าหนาว แต่เรามาแบบนี้ก็ดูสงบเงียบดีนะ
ลานกางเต็นท์ของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าจะอยู่ท่ามกลางป่าสน พื้นที่กางก็จะไล่ระดับเป็นขั้นบรรไดไปตามเนินเขา
หลังจากที่กางเต็นท์เสร็จพวกเราก็นั่งๆ นอนๆ กันอยู่ในเต็ทน์สักพักจนได้เวลามื้อเย็น วันนี้เราฝากท้องไว้กับร้านค้าในอุทยาน ซึ่งอยู่ในบริเวณลานเลย มีหลายร้านให้เลือกนะ มื้อเย็นวันนี้เราสั่งเป็นข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาว กับซุปแกงจืดร้อนๆ อีกชาม รสชาติดีเลยนะทุกคน
กินข้าวเสร็จจะไปอาบน้ำ จริงๆ ต้องรีบอาบน้ำให้เร็วกว่านี้นะ เพราะที่นี่ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น อาบไปสั่นไป แถมฝนตกอีก อากาศและน้ำก็เย็นแบบคูณสองไปเลย
อาบน้ำเสร็จก็เข้าเต็นท์เลย ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากนี้เลยเพราะฝนตก ถ้าฝนไม่ตกก็อาจจะมีนั่งชิวๆ อยู่หน้าเต็นท์บ้าง อีกอย่างน่าจะเหนื่อยจากการเดินทางด้วย ไปเจอกันตอนเช้าเลยนะ
Day 2
อรุณสวัสดิ์ยามเช้าที่ภูหินร่องกล้า เช้านี้ชุ่มฉ่ำสุดๆ ไปเลย เมื่อคืนฝนตกทั้งคืนเลย ไปดูบรรยากาศรอบๆ ลานกันสักหน่อย อุณหภูมิเช้านี้ 20 องศานิดหน่อย เย็นสบายเลย ฟินนนนนนนนนนน .........
ผลพวงจากฝนที่ตกทั้งคืน เช้านี้หมอกมาเต็ม ชอบบรรยากาศแบบนี้จังมองไปทางไหนก็เจอต้นไม้ ใบหญ้าที่เขียวชอุ่ม ดูสบายตาดีจัง
Advertisement
เช้านี้จัดอะไรง่ายรองท้องกันก่อน เป็นกาแฟหอมๆ กับมาม่าร้อนๆ แล้วก็เตรียมมูฟไปภูทับเบิกกันต่อ
ก่อนออกจากที่นี่ขอแวะไปปั๊มๆ ตราอุทยานก่อน
เราเดินทางออกจากอุทยานย้อนกลับไปที่ภูทับเบิก พอมาถึงภูทับเบิกเราก็วนหาจุดที่เราจะตั้งแคมป์กัน จริงๆ ก่อนมาเราก็มองๆ ไว้หลายที่มีทั้งไร่ริมผา ลานวิสาหกิจ ไร่กมลเทพ ธิดาดอย เราขี่ไปตามจุดที่เรามาร์คไว้ ไปดูสถานที่จริงว่าชอบมั้ย จนมาตกลงปลงใจกับที่ " ธิดาดอย โฮมสเตย์ " อยู่ทางที่จะไปวัดป่าภูทับเบิก ลึกหน่อย แต่บรรยากาศดี มีไฟฟ้าให้ใช้ เพราะเราต้องทำงานกัน
ธิดาดอยโฮมสเตย์ มีทั้งลานกางเต็นท์ และบ้านพัก และนี่คือวิวที่ต้อนรับเรา สวยเนาะดูแล้วก็อยากไปอีก เราเดินเลือกมุมที่จะกาง จนได้เป็นมุมนี้
กางเต็นท์เสร็จหมอกก็คลุมทั่วบริเวณเลย อากาศประมาณ 22 องศา นี่เวลาช่วงบ่ายๆ นะเนี่ยยังเย็นขนาดนี้ แล้วคืนนี้จะเป็นยังไงน้อ
วันนี้วันอาทิตย์ก็ชิวหน่อย ยังไม่ต้องทำงาน ก็นั่งๆ นอนๆ ซึมซับบรรยากาศไปก่อน สภาพอากาศตั้งแต่เริ่มกางเต็นท์จนถึงตอนนี้คือแปปๆ หมอกเต็ม อีกแปปจางลงพอให้เห็นวิว แล้วก็ฟุ้งเต็มอีกรอบ สลับกันอยู่แบบนี้ตลอดเลย
นั่งพักกันหายเหนื่อยแล้ว เราก็ออกไปหาอะไรกินกัน ซึ่งเราเลือกมาจากที่บ้านแล้ว เป็นร้านที่เราเคยมากินเมื่อหลายปีก่อน เลยอยากกลับมาย้อนความหลังกันสักหน่อย
มื้อนี้ก็ควบรวมกับมื้อกลางวัน เย็นไปเลย เพราะนี่ก็ 4 โมงเย็นแล้ว เราเลยจัดหนักสั่งแบบหน้ามืดตามัวกันไปเลย มีทั้งขาหมู มะระหวานผัดไข่ กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา แถมส้มตำปูปลาร้าด้วยอีกอย่าง
และอาหารทั้งหมดนี้เราก็กินไม่หมดจร้า แต่ไม่เป็นไรกับข้าวที่เหลือจะกลายเป็นกับข้าวมื้อต่อไปของพวกเรา
กลับมาที่เต็นท์นี่เป็นบรรยากาศตอนกลางคืนสวยไม่แพ้ตอนกลางวันเลย อุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อยๆ เราสลับกันไปอาบน้ำ ห้องน้ำที่นี่มีหลายห้องอยู่นะ ที่สำคัญมีน้ำอุ่นให้ใช้ เราจะไม่ต้องอาบน้ำหนาวอีกต่อไป แต่ข้อเสียคือห้องน้ำอยู่ห่างจากเต็นท์มาก เดินขึ้นเดินลงเล่นเอาหอบนิดๆ เหมือนกัน
ทำอะไรเสร็จก็เข้าเต็นท์นอน ก่อนนอนก็มีฝนตกลงมาปรอยๆ พอกำลังเคลิ้มฝนที่ปรอยก็ตกหนักขึ้น หนักขึ้น ฝนอย่างเดียวไม่พอ ลมมาด้วย ลมแรงเลย มาแบบจัดหนักจัดเต็ม ต้อนรับเราสุดๆ ดีที่กินเวลาไม่นาน ทุกอย่างก็สงบลง เราก็นอนหลับไ้ด้อย่างสบายใจ
Day 3
เช้าวันนี้ 2 ที่ภูทับเบิก เช้าวันนี้สดใส ตื่นมาเจอแสงแดดลอดเมฆลงมา สวยเลย วันนี้วันจันทร์ต้องเตรียมตัวทำงานตามปกติ
เห็นวิวเมืองด้วย แต่แปปๆ หมอกก็เข้ามาปลกคลุมใหม่อีก
วันนี้เราทำงานกันทั้งวันเลย นั่งทำงานไป ดูหมอกไป อากาศก็ช่างเย็นสบาย
สักพักหมอกก็เต็มพื้นที่ มีละอองฝนนิดๆ ก็ต้องย้ายของเข้าเต็นท์ เพราะอากาศมันชื้นมาก
วันนี้ไม่มีกิจกรรมอะไรเลย มีแค่นั่งทำงาน ส่วนมื้อเที่ยงเราก็กินกับข้าวจากเมื่อวาน แล้วก็นั่งทำงานต่อ ส่วนมื้อเย็นเราก็เป็นสุกี้ชาบู เราขี่รถเข้าไปในหมู่บ้านหาซื้อพวกผัก เนื้อสัตว์มาทำสุกี้ชาบูกินกันง่ายๆ วันนี้ฝนเริ่มตกเร็วแต่ตกปรอยๆ เลยไม่ได้เอากล้องออกมาถ่ายบรรยากาศไว้เท่าไร
กินมื้อเย็นเสร็จเราก็ไปอาบน้ำ เตรียมเข้านอน คืนนี้ทุกอย่างดูสงบ ฝนมีบ้างลงมาแบบปรอยๆ
Day 4
เช้านี้เราตื่นขึ้นมาเจอหมอกกันอีกแล้ว แต่วันนี้เราจะย้ายที่ไปดูหมอกกันบนจุดสูงสุดของภูทับเบิกกัน ตรงหออุณหภูมิตรงลานกางเต็นท์วิสาหกิจกัน
เดินชมวิวจนอิ่มเอม ก่อนกลับไปที่แคมป์เราแวะกินข้าวต้มร้อนๆ กันก่อน
พอกลับมาถึงเต็นท์ วิวหน้าเต็นท์เราก็สวยนี่นา หมอกมาแน่นๆ เลย ฟินไป 2 เท่าเลยวันนี้
กิจกรรมวันนี้เราก็นั่งทำงานกันเหมือนเดิม แต่ช่วงบ่ายๆ ว่าจะไปหาร้านกาแฟนั่งสักร้าน พอดีว่าตอนที่ขี่รถขึ้นมา ระหว่างทางมีร้านกาแฟเยอะมากลองสุ่มดูสักร้านและกัน กินทุกร้านน่าจะไม่ได้นอนคืนนี้
ร้านกาแฟที่เรามานั่งจะอยู่ระหว่างทางที่เราขึ้นมาก่อนที่จะถึงภูทับเบิก จุดสังเกตของร้านนี้คือเจ้ากะหล่ำปลีม่วงยักษ์ที่ตั้งอยู่ มาถึงก็ทำการสั่งเครื่องดื่มแล้วก็นั่งชมวิวกัน
วิวตรงจุดนี้จะมองเห็นเส้นทางของถนนที่คดเคี้ยว มองเลยออกไปเป็นวิวเมือง มาพร้อมกับหมอกที่กำลังก่อตัวขึ้น เห็นแบบนี้แล้วก็ฟิน
นั่งมองหมอกไหลผ่านไป แล้วก็ผ่านมาจนเริ่มเย็น เราก็กลับไปที่แคมป์กัน มื้อเย็นวันนี้เราคุยกันว่าเราจะอุดหนุนหมูกระทะของที่ลาน มาถึงทับเบิกทั้งที จะขาดหมูกระทะไปได้ยังไง
หมูกระมะมื้อนี้ของเรา ชุดละ 500 บาท พี่เค้าก็จัดมาเป็นตะกร้าแบบนี้เลยนะ ผักแน่นๆ ที่สำคัญผักกรอบมากกกกกกกก อ้อ ที่ลานพี่เค้าปลูกคื่นช่ายไว้ด้วย เราสามารถเก็บมาทำอาหารได้ด้วยนะ
แล้วนี่ก็หมูในเช็ตจัดมาสวยงามเลย แล้วปริมาณอย่างเยอะเลย หมูหมัก สามชั้น หมึกกรอบ ปูอัด เต้าหู้มาครบจบที่ชุดเดียว
หิวแล้วก็เริ่มก่อเตากันเลย ย่างหมูพร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศภูทับเบิกคืนสุดท้าย
คืนนี้เราได้เก็บทาร์ปใส่กระเป๋าไปเรียบร้อย เพื่อที่ว่าพรุ่งนี้เราจะได้ไม่ต้องเก็บของเยอะ
กินหมูกระทะเสร็จก็ไปอาบน้ำ เตรียมเข้านอน พออาบน้ำเสร็จฝนก็ทำท่าจะตกลงมาอีกแล้ว เราก็รีบเข้าเต็นท์เพราะไม่มีทาร์ปไว้นั่งเล่นแล้ว ไปนอนกลิ้งอยู่ในเต็นท์เตรียมตัวนอน พรุ่งนี้จะได้ตื่นขึ้นมาแบบสดชื่นพร้อมเดินทางกลับบ้าน
แต่ .. แต่ .. แต่ คืนนี้แทนที่เราจะได้นอนกันสบายๆ กลับไม่ใช่เลย ฝนที่ตอนแรกตกลงมาแค่ปรอยๆ กลับหนักขึ้น หนักขึ้นเรื่อยๆ ลมที่ตอนแรกนิ่งสงบอยู่ดีๆ ก็แรงขึ้นมาซะอย่างนั้น ทั้งลม ทั้งฝนแรงเป็น 2 เท่าของวันแรกเลย ลมพัดทีนึงเต็นท์แทบจะแนบหน้า ต้องคอยเอามือพยุงเสาเต็นท์ไว้ จริงๆ แล้วเต็นท์มันเอาอยู่แหละ แต่ก็กลัวเลยป้องกันไว้ก่อนเนาะ ส่วนพี่เต็นท์ข้างๆ ลุยฝนมาเก็บของนอกเต็นท์กันให้วุ่นเลย
พวกเรา 2 คนต้องอยู่แบบนี้ไปสักใหญ่เลย จนรู้สึกง่วงมาก เลยหลับใส่ไปเลย ลม ฝนหรอ เอาเลยตามสบาย เราจะนอนแล้ว
Last Day
เช้านี้ตื่นมาพร้อมกันฝนที่ยังไม่หยุดตกตั้งแต่เมื่อคืน Oh my GOD!!!! รู้สึกคิดถูกมากๆ ที่เราเก็บทาร์ปไปก่อน ส่วนเต็นท์ก็เก็บมันแบบเปียกๆ ไปเลย ทุรักทุเรสุดใส่เสื้อกันฝนเก็บเต็นท์กัน จนจัดของใส่รถครบแล้วฝนก็ยังไม่หยุดตกเลย สุดท้ายก็ต้องใส่เสื้อกันฝนขี่รถกลับ
จบทริป 4 คืน 5 วัน ในภูทับเบิก ถึงแม้จะอยู่นานแต่เอาจริงเราไม่รู้สึกเบื่อเลย บรรยากาศตรงหน้าเรามันเปลี่ยนไปทุกเวลา เดี๋ยวฝน เดี๋ยวหมอก เดี๋ยวก็แดดออก
ค่าใช้จ่าย
- ค่าเข้าอุทยาน (ภูหินร่องกล้า) 100 บาท
- ค่ากางเต็นท์ในอุทยาน คนละ 30 บาท
- ค่ากางเต็นท์ 100 บาท/คน/คืน
เที่ยวแบบเรา : Once-a-month
วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2565 เวลา 11.01 น.